Mano Polking
Mano Polking สมควรได้รับคำชมจริงๆ
มันคืองานที่เขาถูกหลายคนปรามาสตั้งแต่ยังไม่เริ่มทำงานเลยด้วยซ้ำ หากเขาไม่เคยตอบโต้คำเหยียดหยันสารพัดนั้น แต่ก้มหน้าก้มตาใช้ความสามารถที่มีพิสูจน์ตัวเอง
ในศึกเอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ ครั้งนี้ ผมคิดว่าเราได้รู้จักมาโน่มากขึ้น
มากขึ้นทั้งในแง่งานโค้ช และที่อาจจะสำคัญกว่านั้นคือในแง่ของนิสัยใจคอ เขาเป็นคนต่างชาติที่เข้าใจคนไทยเหลือเกิน
เขามีความละเอียดอ่อนในความรู้สึก เห็นอกเห็นใจคนอื่นและคิดถึงผู้อื่น ที่สำคัญคือถ่อมตัวอย่างยิ่ง
ทุกการให้สัมภาษณ์ของเขาเต็มไปด้วยการให้เกียรติคู่ต่อสู้ ให้เกียรติรายการ และให้เกียรตินักเตะกับทีมงานของตัวเอง
ไม่เคยชูตัวเองว่าดี ไม่เคยยกตนข่มท่าน ไม่เคยพูดด้านแย่ของฝ่ายตรงข้าม มีความเป็นนักกีฬาเต็มเปี่ยม
วันที่เขาให้สัมภาษณ์นักข่าวเรื่องการส่ง กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์ ลงสนาม เขาตอบคำถามนั้นด้วยน้ำตา
เขาทำเพื่อกวินทร์ เราทุกคนทำเพื่อกวินทร์ เราสัมผัสได้ว่าเขาตั้งใจทำมันเพื่อตองจริงๆ
ดูทัวร์นาเม้นต์นี้ตลอดรายการเรารู้สึกว่าเขาเป็นหนึ่งเดียวกับทีมอย่างกลมกลืน ไม่เพียงเป็นโค้ชแต่ยังเป็นเหมือนเพื่อนเหมือนพี่ที่เข้าอกเข้าใจนักเตะทุกคน แคร์ความรู้สึกของทุกคน
ความมีส่วนร่วมและแพสชั่นที่มีกับทีมชาติไทยของ Mano Polking รวมทั้งผลงานที่ปรากฏออกมาให้เห็นนั้นทำให้เรารู้สึกอยากจะอ้าแขนรับเขาเป็นคนในด้วยความเต็มใจ คล้ายกับว่าเขาก็เป็นคนไทยคนหนึ่งยังไงยังงั้น
ฝรั่งอะไรกันเข้าใจธรรมชาติและความรู้สึกของคนไทยอย่างกับเป็นคนไทยเองจริงๆ
การใช้นักฟุตบอลครบทุกคนในทัวร์นาเม้นต์คือภาพที่บอกเราชัดเจนถึงความเป็นเขา.. เพราะเอาเข้าจริงมันไม่ใช่เรื่องปกติธรรมดาเลยที่จะมีทีมไหนใช้นักฟุตบอลครบทุกคนในรายการใดก็ตาม
แต่เขาทำ และไม่ใช่ทำอย่างมั่วซั่วหากตั้งอยู่บนพื้นฐานของความไม่ประมาท คือทำในจังหวะที่เหมาะสม ในเกมที่เหมาะสม ในเวลาที่เหมาะสม ไม่ก่อให้เกิดผลกระทบด้านแย่ต่อทีมหรือเสี่ยงต่อผลการแข่งขันที่ต้องการ
แน่นอนครับจะทำอย่างนั้นได้ย่อมต้องมีปัจจัยเกื้อหนุนให้เขาสามารถทำได้ ถ้าทีมกำลังอยู่ในสถานการณ์ดิ้นรน ยังสุ่มเสี่ยงไม่แน่นอนว่าจะเข้ารอบ หรือเกมรอบตัดเชือกกับนัดชิงเตะกันแค่นัดเดียว เชื่อว่าโอกาสที่นักเตะในทีมจะได้สัมผัสเกมครบถ้วนทุกคนอย่างนี้อาจจะมีไม่มาก
จังหวะเวลาเป็นใจด้วย โค้ชหนักแน่นและเชื่อมั่นในตัวลูกทีมอย่างเต็มที่ด้วย เราจึงได้เห็นภาพแบบนี้เกิดขึ้น เราเป็นคนดูก็รู้สึกภูมิใจแทนนักฟุตบอลไปด้วยที่ได้ลงเล่นกันทุกคนอย่างนี้ แต่ละคนต่างก็จะมีโมเม้นต์ในสนามของตัวเองให้ภาคภูมิใจกันทั้งหมด
ยิ่งไปกว่านั้นคือคนทำประตูที่กระจายกันยิงได้หลายคน สะท้อนถึงรูปเกมและรูปแบบการเข้าทำที่หลากหลาย ผสมไปกับคุณภาพเฉพาะตัวของนักเตะชุดนี้
ธีรศิลป์ กับ ชนาธิป อาจจะเป็นดาวซัลโวยิงคนละ 4 ประตู
ทว่าในแต่ละเกมเราจะได้เห็นประตูจากนักเตะคนอื่นๆ ในตำแหน่งอื่นๆ อยู่ตลอด
เกมแรก ชนะติมอร์ 2-0 ปฐมพล กับ สุภโชค ยิง
เกมที่สอง ชนะเมียนมาร์ 4-0 ธีรศิลป์ 2 ประตู วรชิต และ สุภโชค ยิง
เกมที่สาม ชนะฟิลิปปินส์ 2-1 ธีรศิลป์เหมาสอง
เกมที่สี่ ชนะสิงคโปร์ 2-0 เอเลียส กับ ศุภชัย ยิง
เกมที่ห้า ชนะเวียดนาม 2-0 ชนาธิปเหมาสอง
เกมที่หก เสมอเวียดนาม 0-0
เกมที่เจ็ด ชนะอินโดนีเซีย 4-0 ชนาธิป 2 ประตุง สุภโชค และ บดินทร์ ยิงคนละเม็ด
เกมที่แปด เสมออินโดนีเซีย 2-2 อดิศักดิ์ กับ สารัช ยิง
8 นัด 18 ประตู จากนักเตะ 10 คน คล้ายกับว่า Mano Polking จะหยิบ จะจับใครลง จะส่งใครเล่น ก็เป็นได้ผลไปหมด
ยังไม่ต้องพูดถึงความเด็ดขาดในการตัดสินใจและการปลี่ยนตัวปรับแท็คติกที่ปรุโปร่ง ทะลุตลอดทาง
เป็นแปดเกมที่มาโน่งัดฝีมือออกมาโชว์ให้เห็นแบบปล่อยของ ผมหาจุดตำหนิใดๆ ไม่ได้เลยในรายการนี้ มันเป็นทัวร์นาเม้นต์ของเขาจริงๆ นั่นแหละ
ศึกเอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ คราวนี้เราชาวไทยได้ภูมิใจในทีมชาติของเรามากเลยนะครับ
มันสมบูรณ์แบบทุกอย่างไล่ตั้งแต่การสนับสนุนชั้นเลิศและการดูแลเอาใจใส่นักฟุตบอลทุกคนเป็นอย่างดีของมาดามแป้ง ทีมงานโค้ชไปจนถึงเกมในสนาม คุณภาพของนักเตะ คุณภาพของรูปแบบการเล่น ความเยือกเย็นเป็นมืออาชีพ
การถูกไล่เตะจนกลิ้งเป็นลูกขนุนแต่ไม่มีนอกเกมเอาคืนเลยทำให้ผมนึกย้อนไปถึงความเหนือกว่าของเราตอนที่พี่ซิโก้ เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง ทำทีม ตอนนั้นเราก็ชนะคู่แข่งร่วมภูมิภาคเด็ดขาดที่สุดแบบนี้คือชนะทั้งในเกมและนอกเกม ชนะด้วยฟุตบอล ไม่ใช่ตะลุมบอน
ชนะแบบนี้ยิ่งทำให้เรารู้สึกภูมิใจในนักเตะของตัวเองขึ้นไปอีก คุณเกเรนอกเกมใส่ ผมไม่เกเรกลับแต่เอาคืนด้วยฟุตบอลและทัศนคติที่ดี ชนะคุณให้เด็ดขาดหมดจดไปเลย
ความกลมเกลียวนอกสนามและสปิริตความเป็นทีมของทีมชาติไทยชุดนี้สูงมาก แต่ละเกมเรารู้สึกได้เลยว่าทุกคนเป็นกลุ่มก้อน เล่นเพื่อทีม ทำเพื่อชาติ
เล่นเพื่อกวินทร์ที่เพิ่งสูญเสียคุณพ่อ ทำเพื่อฉัตรชัย เพื่อทอมเบียรห์ เพื่อเอเลียส ที่ได้รับบาดเจ็บ
ไม่มีใครเล่นเพื่อตัวเอง หากแต่เล่นเพื่อกันและกัน
กระทั่งตอนรับรางวัลดาวซัลโวของธีรศิลป์กับชนาธิป น้องก็ให้เกียรติพี่ พี่ก็อยากให้น้องรับแสงสปอตไลต์เด่นๆ ยิ่งขึ้น
เจจะให้มุ้ยเดินนำหน้าไปรับรางวัลเพราะมุ้ยเป็นพี่ แต่มุ้ยไม่เอา ก็เจเอ็งเป็นกัปตันทีมนะโว้ย
เอ็งเดินนำไปเลย สุดท้ายก็เดินไปเคียงคู่กัน หรือตอนรับโทรฟี่รองเท้าทองคำก็เหมือนกัน
เจทำท่าบอกคนมอบรางวัลให้มอบให้พี่มุ้ยก่อน แต่พี่มุ้ยก็ไม่เอาอีก เจเอ็งนั่นแหละรับก่อน สุดท้ายก็รับมันพร้อมๆ กันอีก
ผมไม่รู้ว่าแฟนบอลชาติอื่นเห็นแล้วรู้สึกอย่างไร แต่ผมคิดว่าสำหรับแฟนบอลไทยแล้วนี่แหละคือความถ่อมตัวในแบบที่เราเป็น เคารพรุ่นพี่ หวังดีกับน้อง รู้สึกว่าไอ้พี่น้องคู่นี้โคตรน่ารักเลย ดูไปก็อมยิ้มไป อ่านข่าวกีฬามัน ๆ ได้ที่ Ambbet ขอบคุณครับ
แชมป์เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ ด้วยสไตล์ช้างศึกตัวนี้ เป็นของขวัญปีใหม่ที่ทำให้เราชุ่มฉ่ำหัวใจดีจริงๆ นะครับ